หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เกลือมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร จึงทำให้ไอศกรีมแข็งได้


เวลาเอาเกลือละลายน้ำ ถ้าจะให้เกลือละลายเร็วเราจะต้อง ใช้น้ำร้อน เกลือจะละลายเร็ว เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะเกลือต้องการความร้อน สำหรับช่วยในการละลายตัว ให้หมดโดยเร็วนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเอาน้ำแข็งใส่ลงไปในเกลือ เกลือที่ต้องการละลายตัว ไม่สามารถจะหาความร้อนที่ไหนมาช่วยละลายได้ จึงดึงความร้อนจากน้ำแข็ง ซึ่งปนลงไปนั่นเอง น้ำแข็งซึ่งเย็นอยู่แล้วจึงยิ่งเย็นลงไปอีก และเย็นลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลเช่นนี้ตัวไอศกรีมซึ่งอยู่ในถังและมีสภาพเป็นของเหลวจึงถูกดึงความร้อนออกไป เพื่อไปช่วยเกลือและน้ำแข็งนอกถัง ของเหลวในถังจึงเย็นลงตามลำดับจนกระทั่งจับตัวกันแข็งขึ้น

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 ของขวัญต้องห้าม


น้ำหอม
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะมีหลายคนที่เขาเชื่อ เขาแอบกระซิบบอกมาว่า ห้ามให้แฟนซื้อน้ำหอมให้เด็ดขาด เพราะความรักของคุณอาจจะจืดจางเหมือนกับกลิ่นของน้ำหอมที่จางหายไปตามกาลเวลา

รองเท้า
ข้อนี้ยิ่งเด็ด เขาว่ากันว่าหากแฟนซื้อรองเท้าให้จะทำให้เลิกกัน เพราะรองเท้ามันต้องอยู่เป็นคู่ คนที่เป็นแฟนกันแต่ยังไม่ได้อยู่กันเป็นคู่ รองเท้าจึงเป็นอาถรรพ์ที่อาจจะทำให้เลิกกันได้ เรื่องนี้ขอบอกว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายคนนะ ที่แฟนซื้อรองเท้าให้ตอนคบกัน 4 - 5 เดือน หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ แฟนก็ขอเลิกเลย

เสื้อผ้าชุดดำ
อันนี้น่ากลัวมากๆ เขาห้ามให้เสื้อผ้าชุดที่มีสีดำเป็นของขวัญโดยเด็ดขาด เพราะคนโบราณเขาถือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคลุม ผู้หลักผู้ใหญ่จะสอนอยู่เสมอว่า ถ้าเราให้ชุดดำใคร เราจะต้องได้ไปงานศพของคนนั้น

นาฬิกา
อันนี้มาแนวถือเคล็ดซะมากกว่า เพราะหลายคนเชื่อหนักหนาว่า หากแฟนซื้อนาฬิกาให้ จะทำให้ระยะเวลาที่คบกัน อาจจะต้องหยุดลงเมื่อนาฬิกาเรือนนั้นหยุดเดิน ไม่ว่าสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม

รูปถ่าย
อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามให้เด็ดขาดนั้นก็คือ รูปถ่ายเดี่ยวๆ ของตัวเอง เพราะมันเปรียบเสมือนการให้รูปที่ระลึกไว้ดูต่างหน้าเวลาจากกัน อาถรรพ์นี้หลายคนเจอมาแล้ว หากใครไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หลีกเลี่ยงเด็ดขาด

ผ้าเช็ดหน้า
ความหมายตรงตัวมากๆ ผ้าเช็ดหน้าส่วนใหญ่เขาไว้ใช้ทำอะไร คนรับของขวัญก็จะต้องใช้ทำอย่างนั้นหละ..ซึ่งได้ข่าวมาว่า ผ้าเช็ดหน้า ส่วนใหญ่จะใช้เช็ดน้ำตาซะด้วย..ดังนั้นใครไม่อยากที่จะต้องเสียน้ำตา ต้องเลี่ยงให้ของขวัญเป็นผ้าเช็ดหน้า

ของมีคม
อันนี้คงไม่เชิงความเชื่อ เพราะมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้แน่นอน แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลายครับผม พวกของมีคม อาวุธ ดาบ ของเล่น โมเดลต่างๆที่มีคม อย่านำเป็นของขวัญ เพราะจะทำให้ผู้รับได้รับอันตราย มีภัย โชคร้าย ไปด้วย

หวี
แฟน เพื่อน มิตรสหายทั้งหลายฟังทางนี้ เพราะถ้าเรามอบหวีให้กับแฟน หรือเพื่อนคนไหน จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและเขาต้องห่างกันเหมือนซี่ของหวีนั้นเอง

เข็มกลัด
ภายนอกอาจจะดูสวย แต่ภายในแฝงไปด้วยความหมายที่น่าเจ็บปวด เพราะเชื่อว่าหากให้เข็มกลัดแก่ใคร จะเป็นการทิ่มแทงใจ สร้างความเจ็บปวด ขัดแย้งให้กับผู้รับคนนั้น

เครื่องแก้วต่างๆ
ของขวัญชิ้นนี้ พี่ลาเต้ ให้บ่อยซะด้วย จนถือเป็นของเชยไปแล้ว เพราะตามความเชื่อว่าถ้าเกิดเครื่องแก้วนั้นแตกขึ้นมา นั่นก็หมายถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นอันแตกหัก แตกสลายตามของอย่างแน่นอน

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อาหารเพิ่มความจำ


ดื่มน้ำผลบลูเบอรี่คั้นวันละ 2-3 แก้วทุกวันดันความจำคนแก่ดีขึ้น

ดื่มน้ำผลบลูเบอรี่คั้นวันละ 2-3 แก้วทุกวันดันความจำคนแก่ดีขึ้น
วารสาร "เกษตรกรรมและเคมีอาหาร" ของ สหรัฐฯ รายงานว่า มีการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุที่ดื่มน้ำคั้นผลบลูเบอรี่วันละ 2-3 แก้ว จะช่วยให้ความจำดีขึ้น...

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซินซินนาติ กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ และกระทรวงเกษตรแคนาดา ได้วางรากฐานจะร่วมกันทำการทดลองขนาดใหญ่ในสถานพยาบาล เพื่อจะตัดสินใจว่าสมควรจะยกย่องให้ลูกบลูเบอรี่ ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงมากขึ้น เป“นยาบำรุงความจำหรือไม่

หัวหน้าคณะนักวิจัย นายโรเบิร์ต คริโกเรียน ได้ชี้ว่า ผลการศึกษาที่แล้วมาในห้องปฏิบัติการทดลองกับสัตว์ ส่อว่า การกินน้ำลูกบลูเบอรี่ช่วยส่งเสริมความจำในผู้สูงวัยให้ดีขึ้นได้ อาสาสมัครวัย 70 ป•กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเริ่มมีอาการความจำเสื่อม เมื่อได้ดื่มน้ำบลูเบอรี่ตามที่มีขายอยู่ในท้องตลาด วันละ 2-3 ถ้วยครึ่ง นาน 2 เดือน ได้แสดงให้เห็น เมื่อทดสอบการเรียนรู้และความจำ อย่างสังเกตได้ว่าดีขึ้น

รายงานผลการศึกษากล่าวว่า ผลการค้นพบเรื่องความจำขั้นต้นนับว่าน่าพอใจ และส่อท่าว่าหากให้มีการบริโภคอาหารเสริมบลูเบอรี่เอาไว้ อาจจะเป“นหนทางเพื่อสกัดหรือบรรเทาอาการประสาทเสื่อมได้.

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากเมล็ดองุ่น (Grape Seed )


ประโยชน์จากเมล็ดองุ่น (Grape Seed )
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นให้ประโยชน์อย่างไร
ได้มีงานวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดองุ่นพบว่า เมล็ดและเปลือกขององุ่น มีสารฟลาโวนอยด์ ที่เรียกว่า โปรแอนโธไซยานิน สารนี้เมื่อรวมตัวกันจะอยู่ในรูปของโอริโกเมอริค โปรแอนโธไซยานิน (Oligometic proanthocyanidin) หรือเรียกย่อๆว่า OPC ซึ่งได้รับการขนามนามว่าเป็น “ซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์” (Super Antioxidant) มีคุฯสมบัติและคุรภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ได้ดีกว่า"วิตามินซี 20 เท่า" และมากกว่า "วิตามินอี 50 เท่า"

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระแล้วยังเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้ผิวแข็งแรง จึงช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไร้ริ้วรอย ทำให้ผิวเเลดูมีเลือดฝาด อ่อนกว่าวัย และสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย การรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำจะทำให้ร่างกายมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
สาร OPCs ที่พบได้ในสารสกัดจากเมล็ดองุ่นนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆและช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
ปี 1995 ได้มีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นต่อสุขภาพของดวงตา โดยทดลองกับอาสาสมัครที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบตลอดทั้งวันจำนวน 75 คน ซึ่งอาสาสมัครเหล่านั้นมีปัญหาเรื่องสายตา กล้ามเนื้อตาเกร็ง เมื่อให้อาสาสมัครรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 300 มิลลิกรัมต่อวัน ผลปรากฏว่าอาสาสมัครมีปัญหาเรื่องสายตาลดน้อยลง อาการปวดตาและกล้ามเนื้อตาเหนื่อยล้าก็หายไปด้วย แถมยังทำให้มีแววตาสดใสเป็นประกาย
นอกจาก OPCs จะช่วยให้ดวงตามีสุขภาพดีแล้วยังนำมาใช้กับการรักษาโรค และอาการผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ เช่น ช่วยลดอาการอักเสบของแผลและผิวหนัง ช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด ป้องกันโรคมะเร็ง โรคไขข้อกระดูกอักเสบ ฯลฯ

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีสาร OPCs ในปริมาณสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงชนิดหนึ่ง ออกฤทธิ์ในการยับยั้ง เอนไซม์ คอลลาจิเนส (Collaginase) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เนื้อเยื่อ คอลลาเจนถูกทำลาย สาร OPCs จะช่วยรักษาความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลลาเจน และช่วยเสริมความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น

เป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนซ์ที่มีประสิทธิภาพสูง
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีสารสำคัญคือ OPCs ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันการเสื่อมหรือถูกทำลายของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายจากอนุมูลอิสระ
ช่วยในการเพิ่มการไหลเวียนโลหิตผ่านระบบหลอดเลือดฝอยไปทั่วร่างกายมากขึ้น ป้องกันอาการเส้นเลือดฝอยเปราะ และแตกง่าย อันเป็นผลให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ โดยยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) บำรุงผิวพรรณทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเรียบลื่น และเพิ่มความแข็งแรงยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อและกระดูกอ่อน
ป้องกันการเสื่อมของจอรับภาพจากอาการเบาหวาน
คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวพรรณ ช่วยให้ผิวหน้าเนียนใส เปล่งปลั่ง ชะลอริ้วรอยแห่งวัยได้ดีเยี่ยม
สาร OPCs ช่วยยับยั้งการเกิดเม็ดสีเมลานินที่มีมากเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกระ ฝ้า และความหมองคล้ำบนผิวหน้า

เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่!

เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่!


1.ดูแลสายตา

ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง

กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต

หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ

ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กาแฟ....ชาเขียว.....โกโก้........เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ


เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
กาแฟ ชาเขียว โกโก้ เครื่องดื่มทั้ง 3 ประเภทนี้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งต้องเป็นเครื่องดื่มโปรดของคุณแน่ ๆ (หรือบางคนอาจจะทั้ง 3 อย่าง) แต่คุณทราบไหมครับว่า ไม่เพียงรสอร่อยอย่างเดียว ทั้งหมดนี้มีการวิจัยและรับรองแล้วว่าให้ผลดีกับสุขภาพด้วย

กาแฟ การดื่มกาแฟอย่างสม่ำเสมอ ว่ากันว่าช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานได้ เพราะจากการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟชนิดมีคาเฟอีนมากกว่า 6 แก้วต่อวันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในผู้ชายและ 30 เปอร์เซ็นต์ในผู้หญิง

ชาเขียว ในใบชาเขียวมีส่วนประกอบของ epi-gallocatechin 3 gallate (EGCG) ซึ่งช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์ B ในมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังได้ เหตุที่นักวิจัยให้ความสนใจกับชาเขียวเป็นพิเศษ เนื่องจากพบว่า ในภูมิภาคที่ผู้คนนิยมดื่มชาเขียวกันมาก ๆ นั้น มีคนป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งในระบบทางเดินอาหารน้อยกว่าในภูมิภาคที่คนไม่นิยมดื่ม
โกโก้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล พบว่าในปริมาณการดื่มที่เท่ากัน โกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นกว่าไวน์แดงเกือบ 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 2-3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 4-5 เท่า

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไทย คว้าเหรียญทองแรก

สริตา ผ่องศรี เทควันโด้สาวไทย คว้าเหรียญทองแรกให้กับทัพนักกีฬาไทย หลังเอาชนะเหงียน ธี ฮอย จากเวียดนาม ในการแข่งขันเทควันโดหญิงรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 53 กิโลกรัม กวางโจวเกมส์ วันที่ 18 พฤศจิกายน
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกับสาวเวียดนาม สริตาพลาดโดนสาวเวียดนามเตะเข้าศรีษะโดนนำไปก่อนถึง 3 แต้ม แต่ช่วงท้ายยกมาทำคะแนนจีเป็น 1-3 ยกที่ 2 สริตาพยายามหาจังหวะเข้าทำแต่ยังไม่มีโอกาสอย่างชัดเจน ยังคงตามอยู่ 3-1 ช่วงพักยกโดนโค้ชเชจากเกาหลีติวเข้มอย่างหนัก
ยกที่ 3 สาวเวียดนามพยายามเตะเข้าทำคะแนน มีจังหวะมือมาปัดเข้าที่ตาของสาวไทยจนต้องเรียกแพทย์สนามเข้ามาดู แต่สริตาใจยังสู้ลุกขึ้นมาแข่งต่อจนสามารถกลับตัวเตะสูงเข้าที่แก้มของเหงียน ธี ฮอยอย่างสวยงาม ได้ 3 แต้มแซงขึ้นนำไปในช่วงท้ายยกสุดท้าย 4-3 จนหมดเวลาส่งให้ สริตา คว้าเหรียญทองแรกให้กับทัพนักกีฬาสร้างเกียรติประวัติให้กับไทยซึ่งยังไม่เคยคว้าเหรียญทองในการแข่งเทควันโดประเภทหญิงได้ และยังเป็นเหรียญทองแรกของนักกีฬาไทยหลังจากแข่งกวางโจวเกมส์มาแล้วถึง 6 วัน
"น้องหยิน"สริตา ผ่องศรี วัย 19 ปี เป็นนักเทควันโด้สาวดาวรุ่งของไทยมีดีกรีเป็นรองแชมป์โลกจากศึกเทควันโดชิงแชมป์โลกที่ประเทศเดนมาร์กเมื่อปี 2009 เคยได้เหรียญทองแดง ในโคเรีย โอเพ่น(รุ่นฟลายเวต), เหรียญทองแดงมหาวิทยาลัยโลก ครั้งล่าสุดที่เซอร์เบีย และเหรียญเงินชิงแชมป์โลกที่กล่าวไปข้างต้น
น้องหยินเป็นศิษย์เก่าของบัญชายิมส์ เป็นหนึ่งในนักกีฬาเทควันโด้ที่โดดเด่นของไทยในรุ่นราวคราวเดียวกับ"น้องสอง"บุตรี เผือดผ่อง ในช่วงแรกที่น้องหยินลงแข่งระดับเยาวชนยังไม่ประสบความสำเร็จเด่นชัดมากนัก แต่สมาคมเทควันโด และอ.บัญชา บุญตานนท์ ก็ยังสนับสนุนและดึงตัวเข้าสู่แคมป์ทีมชาติยุคเลือดใหม่
ทั้งนี้ เมื่อวัย 15 ปีน้องหยินเคยได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่หัวเข่าถึงขั้นเอ็นไขว้หน้าขาด ต้องพักรักษาตัวไปปีกว่าแต่ด้วยกำลังใจและการผลักดันสนับสนุนจากครอบครัวทำให้น้องหยินกลับมาสู่ถนนแห่งกีฬาเทควันโด้อีกครั้ง จนมาประสบความสำเร็จในเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16 คว้าเหรียญทองแรกให้ทัพนักกีฬาไทย


เหรียญทองที่ 2 ตะกร้อทีมหญิงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา 11:22 น.
ตะกร้อทีมหญิงไทยคว้าเหรียญทองที่ 2 สำเร็จ หลังถล่มจีนขาดลอย 2-0 เซต บ่ายรอลุ้นทีมชายชิงมาเลเซีย

ทัพนักกีฬาไทยคว้าเหรียญทองเหรียญที่สองเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16 หลังจากทีมเซปัคตกร้อหญิงถล่มจีนขาดลอย 2-0 ในการแข่งขันเซปัตตะกร้อทีมหญิงรองชิงชนะเลิศช่วงเช้าวันที่ 20 พฤศจิกายน

ทั้งสองทีมเคยเจอกับมาแล้วในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรกและไทยเป็นฝ่ายชนะ 3-0 ทีม ทีมเอ ไทย ชนะ ไปก่อน 21-10,21-16 วันวิสาข์ จันทร์แก่น แบ๊คดาวรุ่งเล่นได้สุดยอดเสิร์ฟทำคะแนนเป็นว่าเล่นเป็นกุญแจสำคัญให้ไทยชนะนำ 1-0 ทีม

ก่อนที่ ทีม บี ของไทย จะตอกย้ำชัยชนะด้วยชัยชนะสองเซตรวด 21-17,21-11 ให้ทีมไทยชนะไปขาดลอย 2-0 ทีม

คว้าเหรียญทองไปครองเป็นเหรียญที่สองของทัพนักกีฬาไทยและเป็นการลบเลือนความผิดหวัง 4 ปีก่อนหลังจากเข้าชิงชนะเลิศแล้วแพ้ให้กับเวียดนาม

แต่ในรอบรองชนะเลิศเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16 วันที่ 19 พฤศจิกายน ทีมสาวไทยถอนแค้นด้วยการถลุงเวียดนาม 2-0 ทีมและเข้ามาชิงชนะเลิศกับจีนดังกล่าว

สรุปเหรียญรางวัลของทัพนักกีฬาไทย ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่กวางโจว ทัพนักกีฬาไทยคว้า 3 เหรียญเงิน และอีก 7 เหรียญ ทองแดง โดยเหรียญเงินได้จากกีฬาแบดมินตันประเภททีมหญิง, ปืนยาวอัดลมหญิงประเภทท่านอน และยกน้ำหนักหญิงรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 48 กิโลกรัม จากเพ็ญศิริ เหล่าศิริกุล

เหรียญทองแดงได้แก่ แบดมินตันทีมชาย, สนุกเกอร์ชาย และสนุกเกอร์6แดงประเภททีมหญิง, จักรยานลู่หญิงประเภทพ็อยท์เรช, เทนนิสทีมหญิง, ยกน้ำหนักหญิงน้ำหนักไม่เกิน 53 กิโลกรัม และวูซูชาย ประเภท ต่อสู้ รุ่นอายุไม่เกิน 56 กิโลกรัม และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมาก็คว้าเพิ่มได้อีก 2 เหรียญทองแดงจาก 2 นักเทควันโดชายและหญิง คือ ชณาภา ซ้อนขำ และปฏิวัติ ทองสลับ

วันที่ 18 พฤศจิกายนไทยประเดิมเหรียญรางวัลเป็นเหรียญทองแดงจากกีฬาเรือมังกรหญิง 22 ฝีพายระยะ 1000 เมตร

ในช่วงบ่ายไทยมาคว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์จาก สริตา ผ่องศรี ในการแข่งขันเทควันโดรุ่นน้ำหนัก 53 กิโลกรัม

วันที่ 19 พฤศจิกายนไทยได้ 2 เหรียญทองแดงจากเรือพายไลท์เวท ซิงเกิล สกัล หญิง และการแข่งเรือมังกร 500 ม. หญิง

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การบินไทยติด 1 ใน 5 สายการบินดีเด่นของโลก!

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ของสายการบินที่ดีเด่นของโลก ประจำปี 2010 และ มีชั้นเฟิร์สคลาส และบิสิเนสคลาสที่ดีที่สุด จากการจัดอันดับโดย Luxury Travel Magazine’s Gold List 2008 ของนิตยสาร Luxury Travel Magazine ประเทศออสเตรเลีย


กรุงเทพฯ – วันนี้ (27 ก.ย. 53) นายปานฑิต ชนะภัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายทรัพยากร-บุคคลและบริหารทั่วไป บริษัท การบินไทยจำกัด (มหาชน) รับมอบ 2 รางวัลสายการบินดีเด่นของโลก ประจำปี 2010 ในการจัดอันดับแบบสำรวจความคิดเห็นด้านธุรกิจท่องเที่ยวดีเด่น (Best in Travel Poll) นายวีเจ เค เวอร์กีส (Mr.VijayfKfVerghes) บรรณาธิการเว็บไซต์ สมาร์ท แทรเวล เอเชีย (SmartTravelAsia.com) โดยรางวัลที่บริษัท การบินไทย ได้รับ ได้แก่ รางวัลสายการบินดีเด่น อันดับ 2 ด้านการบริการบนเครื่องบิน ดีที่สุดในโลก และรางวัลชั้นโดยสารธุรกิจดีเด่น อันดับ 4 โดยมีนายสาธก วรศะริน ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริการบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทยจำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ การบินไทย สำนักงานใหญ่ อนึ่ง รางวัล สมาร์ท แทรเวล เอเชีย 2010 เป็นรางวัลที่ได้จากผลการโหวตความนิยมของผู้โดยสารผ่านทางเว็บไซต์ www.smarttravelasia.com โดยกลุ่มผู้อ่านเป็นซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่มีความนิยมในการเดินทางและอยู่ใน ธุรกิจการท่องเที่ยว สายการบิน และโรงแรมกว่า 1 ล้านคน ทั่วโลก

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ เมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับ ควรทำอย่างไร


เมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับ
น้ำผึ้ง มีสรรพคุณช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ โดยใช้ น้ำอุ่น 1แก้ว ตามด้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนผสมน้ำและน้ำผึ้งให้เข้ากัน แล้วดื่มก่อนนอน
อย่านอนผิดเวลาทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย
ถ้าเข้านอนแล้ว นอนไม่หลับ ควรลุกออกจากเตียง หากิจกรรมอื่นทำ เช่น อ่านหนังสือคลายเครียด นั่งนิ่งๆสักพัก
งดอาหารหวานทุกชนิดก่อนเวลาเข้านอน เพราะอาหารหวานจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว
กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่างๆ ผักใบเขียวเข้ม และผลไม้แห้ง จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น
….
ยังมีอีกหลายวิธี ลองทำตามวิธีที่คุณถนัดที่สุด อาการนอนหลับ ส่วนใหญ่ จะเกิดจาก เครียดเป็นเวลานาน หรือ นอนไม่พอหลายๆคืนติดต่อกัน ทำให้เกิดอาการเครียด ทำให้นอนไม่หลับได้ ดังนั้น คุณควรหลีกเลี่ยง การอดนอนเป็นเวลานานๆนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารต้านหนาว

อาหารต้านหนาว
อาหารเรื่องเด่น
สร้างสมดุลให้ร่างกาย



ใกล้หน้านาวแล้ว คนอยู่กรุงร้อนตลอดเวลามักถามหาลมหนาว หรือไม่ดั้นด้นขึ้นดอยไปคอยให้ลมหนาวพัดผ่านผิวกายเป็นที่ระลึก สักนิดหน่อยก็ยังดี...

เมืองไทยถือว่าโชคดี แม้จะไม่ค่อยหนาว มีแต่ร้อนกับร้อนกว่า แต่อากาศก็ไม่แปรปรวนมาก ไม่หนาวมาก ไม่ร้อนจัดจนขาดใจตาย (เพราะชินแล้ว) ในบางเมืองของบางประเทศ เช่น เมลเบิร์น คนเคยอยู่บอกว่า วันหนึ่งบางทีมี 4 ฤดูครบ ไปไหนในกระเป๋าต้องมีร่มกันฝนด้วยกันแดดด้วย เสื้อกันหนาว ที่ถอดออกแล้วเสื้อตัวในใส่เดี่ยวๆ ได้เพราะในวันเดียวกันมีฝนตก อากาศเย็นยะเยือก สักพักเดียวก็แดดออกร้อน

อากาศที่เปลี่ยนกะทันหันเป็นต้นเหตุให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันทำให้เกิดภาวะไม่ปกติ เกิดอาการเจ็บป่วย เป็นไข้ ไม่สบายเนื้อตัว จากเย็นเป็นร้อนก็พอทน แต่ถ้าจากอากาศร้อนอยู่ดีๆ เปลี่ยนเป็นหนาว หรือฤดูฝนที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นฤดูหนาวที่คนโบราณบอกว่าเป็นปลายฝนต้นหนาวจะส่งผลให้ร่างกายเป็นไข้เปลี่ยนฤดูนั่นคือ เกิดสภาวะไม่สมดุลในร่างกาย ด้วยไออุ่นในร่างกายไม่สมดุลกับสภาพอากาศร่างกายจะต้านทานอากาศหนาวไม่ได้แล้วถ้าหนาวฉับพลันทันใดร่างกายทนทานไม่ได้ก็อาจถึงขึ้นเสียชีวิต เช่นตัวอย่างที่พบบ่อยๆ จากคนในชนบท

แพทย์แผนไทยมีตำราว่าด้วยการป้องกันภัยจากลมหนาวแนะนำให้ดูแลบตัวเองให้ร่างกายอบอุ่น กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ และหมั่นสังเกตความผิดปกติในร่างกายเช่น ผิวหนังภายนอกแห้งแตก หนังหลุดลอกเป็นชั้นๆ รู้สึกคันตามเนื้อตัว ภายในปากเหมือนปากแห้ง ริมฝีปากแตก มีอาการคัดจมูก แน่นหน้าอก เจ็บคอ มีเสมหะตอนเช้า บางทีก็ท้องเสีย เวียนหัวแต่ไม่มีไข้ อาการที่ดูเหมือนผิดปกติเพียงนิดหน่อยแต่เป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งเตือนแล้วว่านี่คืออาการของไข้เปลี่ยนฤดูที่มากับลมหนาว

การดูแลร่างกายเมื่อรู้สึกว่าเกิดอาการต่างๆ ดังกล่าว ได้แก่ หาเครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นป้องกันไม่ให้กระทบความเย็นจนเกินไป เวลานอนต้องสวมเสื้อผ้าหนาขึ้น ห่มผ้า ถ้าผิงไฟป้องกันความหนาว ทำมากเกินไปก็ไม่ดี ต้องค่อยๆ ไล่ให้ความอุ่นเข้ามาอย่างช้าๆ เพราะถ้าหนาวแล้วมาร้อนทันที ร่างกายก็ปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน ส่วนอาหารการกินช่วยช่วยให้อิ่มและแล้วยังสามารถเป็นยาได้ด้วย คนโบราณให้กินข้าวเหมือนเป็นยาป้องกันไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องกินยาจริง อาหารสู้ลมหนาวเป็นพืชผักสมุนไพรที่เกิดและเติบโตในฤดูกาลนั้น โดยฤดูหนาวในเมืองไทยอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม - มกราคม ช่วงนี้คนจะเจ็บป่วยบ่อยจากธาตุน้ำกำเริบ อาการแรกคือผิวแห้ง คันตามผิวหนัง มึนศีรษะ มีน้ำมูลไหล รู้สึกขัดยอกเนื้อตัว ขยับร่างกายไม่สะดวก ท้องอืด ควรเลือกกินอาหารบำรุงธาตุน้ำที่มีรสขมร้อน รสร้อน รสเปรี้ยว เผ็ดเล็กน้อย และงดเว้นอาหารที่มันจัด เช่น แกงส้มดอกแค ต้มย้ำ ต้มโคล้ง มีรสเผ็ดผสมเปรี้ยว น้ำขิง น้ำมะนาว น้ำส้ม เหยาะเกลือเล็กน้อย



คนจีนก็มีศาสตร์การกินป้องกันอากาศหนาวเย็น เขาหนาวกว่าเรามาก และก็มีอาหาร "หยาง" ที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมากกว่าบ้านเรา มีสูตรแพะตุ๋นยาจีน หรือต้มแกง ข้ามต้ม โจ๊ก ที่ใส่ขิงและพริกไทยมากขึ้น ซึ่งในอาหารไทยหลายชนิดมีพริกไทยเป็นส่วนผสมอยู่แล้ว การปรุงแต่งรสให้เปรี้ยวและเผ็ดร้อนขึ้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของอาหารไทยที่รู้จักกินตามฤดูกาลเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ส่วนผักนั้นเนื่องจากฤดูหนาวเป็นช่วงต่อเนื่องจากฤดูฝนหน้าหนาวบ้านเราจึงอุดมด้วยผักและเห็ดนานาชนิด และผักที่ควรเลือกกินตอนหนาวๆ นี้ได้แก่ ยอดส้มมะขาม ยอดมะม่วง กระเจี๊ยบแดง ดอกแค เห็ดชนิดต่างๆ ทำแกงส้ม แกงเลียง แกงป่า ในชาติตะวันตกบอกว่า ต้องกินไขมันมากขึ้นเพราะช่วยสู้อากาศหนาวเย็น แต่ตำรับแพทย์ไทยบอกว่าจะไปขัดกับสมุฎฐานโรคเสมหะ หมายถึงยิ่งกินมันมากจะยิ่งเพิ่มเสมหะให้กำเริบขึ้น


แพทย์แผนจีนบอกอีกว่า โรคหวัดที่เป็นจากร่างกายปรับตัวไม่ทันยังแบ่งเป็นหวัดร้อนกับหวัดเย็น อาการไม่เหมือนกัน หวัดเย็นมีอาการกลัวหนาว น้ำมูกใส สะบัดร้อนสะบัดหนาว แก้ได้ด้วยดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือปรุงอาหารใส่ขิงพริกไทยและพริก ช่วยเพิ่มพลังหยาง กินข้าวต้มใส่พริกไทยเยอะๆ แกงจืดใส่พริกไทย สาหร่ายดำ ถ้าเป็นหวัดร้อนจะมีอาการเจ็บคอ มีไข้ต่ำๆ กินน้ำเก๊กฮวยกับใบหม่อน หรือชาฟ้าทะลายโจร โรคหวัดของแผนจีนมีทั้งหวัดร้อนหวัดเย็นหวัดชื้น หวัดเย็นมักมีอาการกลัวหนาว น้ำมูกใส สะบัดร้อน สะบัดหนาว ควรดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือทำอาหารที่ประกอบด้วยขิง และพริกหรือพริกไทย เพื่อเสริมความอุ่นของร่างกายเป็นการเพิ่มพลังหยางให้รูขนเปิดเพื่อระบายพิษทางเหงื่อ



ถ้าคัดจมูกมากๆ ไม่ต้องไปใช้ยาหยอดจมูกราคาแพงๆ หรอก ใช้กระเทียมของเรานี่แหละ ล้างให้สะอาดตำให้แหลกเหยาะน้ำต้มสุกนิดหน่อย บีบเอาน้ำหยอดเข้าไปในจมูก ช่วยให้หายคัดจมูก แต่ถ้าเป็นหวัดร้อนโดยมีอาการเจ็บคอมีไข้ต่ำๆ ให้ต้มเก๊กฮวยกับใบหม่อนดื่มหรือกินฟ้าทลายโจร

อาหารที่มีขายทั่วไปตามท้องตลอด ที่ดูแล้วเกิดตามฤดูกาลกินได้ทั้งนั้น ไม่ต้องกินของแปลกหายาก ตำรับจีน และไทยมีอาหารแก้หนาว กินแล้วอบอุ่น หาได้ทั่วไปทั้งต้ม ผัดแกงตุ๋น กินให้ร้อนให้อุ่นท้อง เหงื่อออกสักหน่อย อาการเวียนหัวจะหายไป คือการปรับสมดุลด้วยอาหารนั่นเอง

คำพ่อสอน

คำพ่อสอน
ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไปถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใด ๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพราะว่าถ้าไปเจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้ แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็งในกาย ในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ นั้นได้ ความเข้มแข็งในใจนั้น หมายความว่า ไม่ท้อถอย และไม่เกิดอารมณ์มาทำให้โกรธ อารมณ์นั้นก็คือ ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความน้อยใจ ทั้งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คิดไม่ออก
พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘

พิษ “มะเฟือง” ถึงตาย


พิษ “มะเฟือง” ถึงตาย
อาหาร
ผู้ป่วยไตกลุ่มเสี่ยง
หลายเสียงเล่าลือกันถึงเรื่องของพิษที่มีอยู่ใน..."มะเฟือง" ส่งผลทำให้มีอันตรายถึงชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลัน เพื่อให้คลายสงสัย รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความกระจ่างว่า...มะเฟืองเป็นผลไม้เขตร้อนที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนาน แต่ในจำนวนคนไทย 67 ล้านคน มีน้อยคนนักที่จะทราบว่า...พิษของมะเฟืองมีผลต่อสุขภาพของไตและ...อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

คุณหมอชาครีย์ บอกว่า "ไต"... เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบในร่างกายของเรา มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้างอยู่บริเวณบั้นเอว ไตเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ ส่วนที่ต่อจากท่อไต (URETER) ซึ่งจะนำปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ และเข้าสู่ท่อปัสสาวะ (URETHRA) ในเพศชายจะมีต่อมลูกหมากอยู่โดยรอบท่อปัสสาวะ

หน้าที่สำคัญของไต หนึ่ง...ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการแตกตัวของโปรตีนในอาหารออกจากร่างกาย สอง...รักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ กรดและด่างของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สาม...ควบคุมความดันโลหิต สี่...สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก


ความหมายของภาวะไตวาย คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

ชนิดแรก...ไตวายเรื้อรัง คือการสูญเสียการทำงานของไต ที่เป็นไปอย่างช้าๆ และถาวร ช่วงเวลาอาจตั้งแต่ 1-2 ปี จนถึง 10 ปีขึ้นไป จนในที่สุดเข้าสู่ภาวะสุดท้ายของไตวาย (END STAGE RENAL FAILURE) ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องการการรักษาแบบทดแทน เช่น ฟอกเลือด, เปลี่ยนไตเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

ชนิดที่สอง...ไตวายเฉียบพลัน ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวัน ทำให้เกิดการคั่งของของเสียทำให้เกลือแร่ กรด ด่าง และการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ "ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีปริมาณปัสสาวะต่อวันน้อยกว่า 400 ซีซี"

คุณหมอชาครีย์ บอกอีกว่า สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย...การอุดตัน ผู้ป่วยที่ช็อกจากการติดเชื้อ, เสียเลือดจำนวนมาก หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย การใช้คำว่า "เฉียบพลัน" นอกจากบ่งถึงช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ยังบ่งถึงความเป็นไปได้ ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้

คนไทยรู้จักมะเฟืองมานาน นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือคั้นเป็นน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลดิบเป็นผัก เช่น ในอาหารเวียดนาม "ในบ้านเรามีรายงานเกี่ยวกับคนไข้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันหลังการรับประทานผลสด หรือน้ำมะเฟืองจำนวนมาก...เนื่องจากมะเฟืองเป็นพืชที่มีสารออกซาเลตสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ปกติแล้วออกซาเลตสามารถละลายและถูกดูดซึมได้อย่างอิสระ แล้วถูกขับออกทางไต โดยสาเหตุของไตวายเฉียบพลันนั้น เพราะไตเป็นแหล่งที่มีสารต่างๆ หลายชนิด เมื่อสารออกซาเลตในมะเฟืองจับตัวกับแคลเซียมที่อยู่ในไต จะกลายเป็นผลึกนิ่วออกซาเลต ผลึกนิ่วจำนวนมากตกตะกอน หรืออุดตันในเนื้อไตและท่อไต ...ทำให้ไตวายหรือสูญเสียการทำงานไป" แต่กระนั้น...การเกิดภาวะไตวายไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยทุกราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทาน และภาวะพร่องหรือขาดน้ำในผู้ป่วย

หน่วยโรคไต โรงพยาบาลรามาธิบดี เคยพบกรณีคนไข้ในประเทศไทยมีอาการไตวายเฉียบพลัน จากการได้รับภาวะพิษจากการรับประทานผลมะเฟือง และได้ส่งรายงานไปต่างประเทศ ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษต่อไต...เกิดขึ้นในหลายชั่วโมงถัดมา หลังรับประทานผลมะเฟือง ผู้ป่วยจะมาด้วยภาวะไตวายเฉียบพลัน กล่าวคืออาจจะมีปัสสาวะออกน้อยลง, บวมน้ำ, ความดันโลหิตสูงขึ้น, น้ำท่วมปอด, อ่อนเพลีย หรือ...บางรายอาจมาด้วยอาการสะอึก เนื่องจากของเสียในร่างกายคั่ง จากการที่ไตไม่สามารถขับของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ และ...อาจจะต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด

พบด้วยว่า ถ้ามีภาวะไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้น หลังหยุดรับประทานมะเฟืองผู้ป่วยเดิมที่มีไตปกติ กว่าไตจะกลับมาทำงานได้ตามปกติอาจใช้เวลานาน ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตเดิมอยู่ก่อนแล้ว การทำงานของไต อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่กลับมาเท่าเดิม และอาจจะต้องฟอกไตถาวร



ผลการศึกษาปัจจัยการเกิดโรค พบว่าขึ้นอยู่กับชนิดมะเฟือง...มะเฟืองเปรี้ยวมีโอกาสเกิดโรคมากกว่ามะเฟืองชนิดหวาน เนื่องจากมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่า "ถ้ารับประทานผลสดหรือผลไม้คั้น จะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่า แต่ถ้าผ่านการดอง หรือแปรรูปหรือเจือจางในน้ำเชื่อม เช่น...ในน้ำมะเฟืองสำเร็จรูป จะทำให้ปริมาณออกซาเลตลดน้อยลง"

ปริมาณที่รับประทาน พบว่าระดับออกซาเลต ที่เป็นพิษต่อร่างกายมีค่าตั้งแต่ 2-30 กรัมของปริมาณออกซาเลต...ผลมะเฟืองเปรี้ยวมีออกซาเลต ประมาณ 0.8 กรัม ในขณะที่มะเฟืองหวานมีออกซาเลต 0.2 กรัม สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่เดิมอาจมีไตวายเฉียบพลัน จากการรับประทานมะเฟืองเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ ระดับความรุนแรงยังขึ้นอยู่กับภาวะพร่องหรือขาดน้ำ จากการรายงานผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายหลังรับประทานมะเฟือง พบว่าผู้ป่วยดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากการทำงานหนักหรือสูญเสียเหงื่อมาก จะยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น เนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลตจะอิ่มตัว และตกผลึกง่ายขึ้นในเนื้อไต

ในผู้ที่มีไตเรื้อรังอยู่ก่อนโดยเฉพาะผู้ที่ไตวายต้องล้างไตแล้ว มะเฟืองมีผลต่อระบบประสาทด้วย มีรายงานในผู้ป่วยกว่า 50 รายทั่วโลก...มะเฟืองอาจมีสารที่เป็นพิษกับระบบประสาท ซึ่งผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไปจากการที่สมองบวม จากการที่มีผลึกนิ่วออกซาเลตไปเกาะสมอง หรือการที่มะเฟืองมีสารพิษอื่นที่กระตุ้นสมอง สารพิษต่อสมองนี้จะสะสมในภาวะไตวาย ดังนั้น...การเกิดพิษลักษณะนี้พบได้น้อยมากในคนปกติ และผู้ป่วยมักต้องรับประทานผลมะเฟืองเป็นจำนวนมาก

"ผู้ป่วยไตวายอาจมีอาการทางสมองหลังรับประทานมะเฟืองทั้งชนิดหวานและชนิดเปรี้ยวเพียงหนึ่งผล อาการมักเริ่มไม่กี่ชั่วโมงหลังรับประทานมะเฟือง โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สะอึก ตามด้วยภาวะซึมหรือชัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังหยุดรับประทานมะเฟือง หลังการล้างไตเพื่อเอาพิษมะเฟืองออก...อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตหลังรับประทานมะเฟือง"

น่าสนใจที่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ยินข่าวผู้ป่วยจากพิษมะเฟือง เป็นไปได้ว่าที่ผ่านมามะเฟืองไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก ผลผลิตมะเฟืองในแต่ละปีก็มีจำนวนไม่มากอย่างผลไม้อื่นๆ คนส่วนใหญ่จะรับประทานในปริมาณน้อย และไม่รับประทานมะเฟืองเปรี้ยว

แต่ในช่วงหลังๆ มานี้...ได้มีบทความแพร่ทางสื่อออนไลน์ชวนให้รับประทานมะเฟืองสด โดยชี้แนะประโยชน์ทางสุขภาพ เช่น ลดน้ำตาลในเลือด หรือช่วยรักษาโรคอื่นๆ จึงอาจทำให้มีคนเชื่อ หันมาบริโภคมะเฟืองกันมากขึ้น

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ระบุชัดเจนถึงประโยชน์ของมะเฟือง ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง มะเฟืองสดเป็นผลไม้ที่น่าจะเกิดโทษกับผู้ที่รับประทานมากเกินกว่าที่ร่างกายจะทำลายพิษได้

และ...ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภคที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไตวาย ผู้บริโภคสุขภาพปกติทานได้แต่ในปริมาณไม่มาก...ผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตควรหลีกเลี่ยง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีไตเสื่อม หรือมีความเสี่ยงต่อโรคไต ห้ามทานมะเฟืองทั้งเปรี้ยวและหวานเด็ดขาด

คุณหมอชาครีย์ย้ำทิ้งท้ายว่า โรคไตมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้รักสุขภาพควรเอาใจใส่ต่อโภชนาการที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพไตเป็นประจำทุกปี

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บทความน่าอ่าน ประหยัดแบบแม่บ้านฝรั่ง


1.ซื้อตอนลดราคา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ในครัวเรือน หรือแม้แต่ของขวัญ คุณแม่คนหนึ่งบอกว่า เธอซื้อของขวัญคริสต์มาสสำหรับปีต่อไปทันทีที่จบเทศกาลคริสต์มาส เพราะทุกอย่างจะลดราคาเยอะมาก เธอสามารถซื้อของราคา 20-25 เหรียญได้ในราคา 5 เหรียญเท่านั้น
2.เลือกเวลาซื้อ พ่อบ้านคนหนึ่งบอกว่าเขาชอบกินเนื้อชั้นดีราคาแพง เขาไปสืบมาว่าร้านค้าจะเอาเนื้อล็อตใหม่มาวางขายตอนบ่าย ถ้าขายไม่หมดเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเขาจะลดราคาลง 50-75 % นั่นแหละคือช่วงเวลาที่เขาจะออกไปซื้อแล้วแช่ช่องแข็งไว้
3.คูปอง ตามซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า นิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ มักมีคูปองลดราคา ให้ตัดคูปองไปซื้อสินค้าเพื่อรับส่วนลด
4.หลอกเด็ก ฟังดูอาจจะงง มีคุณแม่คนหนึ่งบอกว่าลูกชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ด แต่กินบ่อยๆ ไม่ไหวเพราะแพงและไม่ดีต่อสุขภาพ วิธีที่จะเจอกันครึ่งทางคือ เมื่อซื้ออาหารเหล่านั้นคุณแม่จะเก็บถุง กระดาษเช็ดปากที่ไม่ได้ใช้ และถ้วยใส่น้ำไว้ วันไหนลูกรบเร้าจะให้พาไปกิน คุณแม่จะทำอาหารเองแล้วบรรจุใส่ภาชนะของร้านที่เก็บไว้ ใส่ถุงที่มียี่ห้อที่ลูกอยากกิน ทั้งประหยัดเงินทั้งได้กินอาหารที่มีประโยชน์กว่า เพราะแม่สามารถแอบใส่ของดีๆ ให้ลูกกินได้
5.2 in 1 คุณแม่บ้านนี้ใช้แชมพูที่มีครีมนวดผสมอยู่ในขวดเดียวกัน ประหยัดทั้งเงิน น้ำ และเวลา เธอยังเลือกใช้แป้งพัฟที่มีรองพื้นในตัวเพื่อไม่ต้องแยกซื้อครีมรองพื้นและ แป้งแข็ง เธอยังซื้อเจลว่านหางจระเข้ให้สามีใช้แทนน้ำยาโกนหนวด เพราะราคาถูกกว่า และเธอสามารถแบ่งใช้ตอนโกนขนที่ขา ซึ่งผู้หญิงอเมริกันจะนิยมทำกัน เธอจะซื้อเจลนี้ตอนลดราคาปลายฤดูร้อน เพราะถือเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับหน้าร้อนด้วย และจะซื้อขวดใหญ่ที่จะใช้ได้นานเป็นปี เพื่อให้ถึงปลายฤดูร้อนปีถัดไป
6.นมแม่ ให้ลูกกินนมแม่ไม่เพียงประหยัดค่านมผสม แต่ที่อเมริกามีการศึกษาพบว่า เด็กที่กินนมแม่จะประหยัดค่ารักษาพยาบาลปีละ 500 เหรียญ หรือประมาณหมื่นกว่าบาท เพราะกินนมแม่แล้วแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย
7.ซื้อสินค้ามือสอง หลายประเทศมีร้านสินค้ามือสองเป็นเรื่องเป็นราว สินค้าดูดีไม่น่ารังเกียจ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า จานชาม เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องประดับ ประเทศไทยเราก็มี เช่น ที่ร้านแคช คอนเวิร์ตเตอร์ ที่เขาซื้อลิขสิทธิ์ฝรั่งมาเปิด และร้านของคนไทยที่ดิฉันเคยอ่านเจอแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว รู้สึกจะอยู่ที่ซีคอนสแควร์ เป็นร้านที่รับบริจาคของมาขาย รายได้เขาเอาไปทำบุญ หรือโรงรับจำนำก็มีขายมานานแล้ว แต่หลายคนอาจอายที่จะเข้าไปซื้อ
8.ผลิตภัณฑ์ทำเอง ในตลาดมีน้ำยาสารพัดชนิดวางขายทั้งเช็ดกระจก ขัดสแตนเลส ล้างโถส้วม ขัดพื้นไม้ พื้นกระเบื้อง ลดคราบน้ำมัน ฯลฯ คุณแม่คนนี้เธอบอกว่าจริงๆ แล้วเราต้องการน้ำยาแค่ 2 อย่างก็ทำความสะอาดบ้านได้ทั้งหลัง เธอจึงลงมือทำเอง
แอลกอฮอล์เจือจาง (แอลกอฮอล์ 1 ส่วน : น้ำ 5 ส่วน) ทำความสะอาดได้เกือบทุกอย่างในบ้าน ทั้งหน้าต่าง กระจก ห้องน้ำ มือจับประตู เคาน์เตอร์ต่างๆ
น้ำส้มสายชูเจือจาง (น้ำส้ม 1 ส่วน : น้ำ 4 ส่วน) ทำความสะอาดพื้นได้ผลดีนัก บางคนอาจไม่ชอบกลิ่น แต่เพียงครู่เดียวกลิ่นมันจะหาย
ลองทำตามคำแนะนำนี้ดูนะคะ รับรองประหยัดเงินได้เยอะค่ะ ^-^

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ กินของหวานอย่างไร ไม่ให้อ้วน

รู้ปริมาณแคลอรี ก่อน กินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกินหรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด
ลดแคลอรี การ ตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี
ควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว
ดื่มชาเขียวหรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน
15 นาที หลัง กินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย
30 นาที หลัง กินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกายควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผา ผลาญควบคู่ไปด้วย
งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน
ลองทำตามคำแนะนำ ดูนะคะ ^-^

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้ 8 วิธี ที่ทำให้ดื่มน้ำง่ายขึ้น

1.ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นนอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอดทั้ง วัน ทั้งยังช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย
2.บีบน้ำมะนาวใส่นิด ๆ หากคุณรู้สึกแปลก ๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ
3.ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ
4.ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ
5.ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอก ๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง
6.เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่าย ๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น
7.ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น
8.หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อน ๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สื่อสารมวลชน สิ่งพิมพ์ ศิลปะ วัฒนธรรม


เว็บไซต์ที่มีจำนวนยอดผู้เข้าชมสูงสุด คือ สนุกดอตคอม
เว็บไซต์
ข่าวที่มีจำนวนยอดผู้เข้าชมสูงสุด คือ ผู้จัดการออนไลน์
วงดนตรี
เฮฟวี เมทัลวงแรก คือ คาไลโดสโคป
นักร้องหญิงคนแรกที่มียอดจำหน่ายงานเพลงได้หนึ่งล้านชุด และเป็นคนเดียวที่ทำสถิติไว้ถึง 3 อัลบั้ม คือ
คริสติน่า อากีล่าร์[ต้องการอ้างอิง]
นักร้องหญิงที่มียอดจำหน่ายเทปสูงที่สุด และมีจำนวนเพลงยอดนิยมมากที่สุด คือ
ใหม่ เจริญปุระ[ต้องการอ้างอิง]

บทความดีๆน่าอ่าน เสียงเห่าสุนัข…บอกอะไรเราได้บ้าง


การเห่าสั้น ๆ 2-3 ครั้ง เป็นการทักทายกันยามปกติ…เช่นเมื่อคุณกลับเข้าบ้าน หรือเมื่อเจอกันตอนเช้าหลังตื่นนอน เป็นต้น แปลความหมายได้ว่า.. “สวัสดีเจ้านาย”
การเห่าเป็นชุด ๆ ละ 3-4 ครั้ง แล้วหยุดเป็นระยะ เป็นการชักชวนให้คุณมาดูอะไรบางอย่าง…. แปลความหมายได้ว่า…”มาดูอะไรนี่สิ”
การเห่าเร็ว ๆ ติด ๆ เป็นการเตือนภัยว่าจะมีอะไรเข้ามาใกล้ หรือในเวลาที่หมาน้อยมองเห็น ได้กลิ่นของคนแปลกหน้า มีความหมายว่า “ระวังนะ!!! กำลังมีอันตรายเข้ามาใกล้เราแล้ว…”
แต่ถ้าโทนเสียงต่ำ ๆ ติด ๆ ละก็มีความหมายว่า “อันตรายมาถึงแล้วนะ” หรือเป็นการขู่คนร้ายว่า “อย่าเข้ามานะ เดี๋ยวกัดเลย”
เห่าแล้วหยุด…เห่าแล้วหยุด ติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นการบอกว่า “เหงาจัง” มาเล่นเป็นเพื่อนหน่อยซิ
การเห่าครั้งเดียวสั้น ๆ หากคุณหรือใครอื่นกำลังยุ่งวุ่นวายกะเค้าอยู่แล้วมีการเห่าสั้น ๆ ขึ้นนั้น มีความหมายว่า “รำคาญนะ อย่ามายุ่ง อยากอยู่คนเดียว” แต่ถ้าไม่มีใครวุ่นวายกะเค้าอยู่ละก้อ…มีความหมายว่า “อยากเข้าห้องน้ำ หรือหรือถึงเวลาให้อาหารแล้ว”
การเห่าติดต่อกันนาน ๆ ถ้าเป็นลูกสุนัขไม่มีอะไรมากหรอก..เขาแค่ต้องการให้คุณอยู่ใกล้ๆ และสนใจตลอดเวลา ประมาณว่าออดอ้อนอะไรทำนองนั้น
การเห่ารัว ๆ และดังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการบ่งบอกว่าเค้าตื่นเต้น และกำลังสนุกจริง ๆ
ลองสังเกตสุนัขที่บ้านดูนะคะ เค้าคุยกับเราไม่ได้ เราก็ลองสังเกตพฤติกรรมการสื่อสารของเค้าดูนะคะ

เกร็ดน่ารู้ วิธีล้างพิษอาหาร ก่อนกิน


1.ปลอดภัยด้วยสูตรขนมปัง ใช้โซดาทำขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร (1 กาละมัง) แช่ผัก ทิ้งไว้ 15 ก่อนนำมาปรุงอาหาร
2.ลดสารพิษฆ่าแมลง 60-84% ใช้น้ำส้มสายชู 0.5% หรือน้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที
3.ลดสารพิษฆ่าแมลง 54-63% เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที
4.ลดสารพิษฆ่าแมลง 7-33% ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที
5.ลดสารพิษ 50% ลวกผักด้วยน้ำร้อน ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50% เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
6.เสียปริมาณดีกว่าเสียใจ ผักที่มีกาบใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น กะหล่ำปลี หัวหอมใหญ่ ควรปอกเปลือกหรือลอกใบชั้นนอกออกจะสามารถช่วยลดสารพิษลงได้
7.ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ผสมผงปูนคลอรีน 1/2 ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก
8.ล้างผักด้วยน้ำยาล้างจาน ใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำ (หรือสก็อตไบรต์) ถูเบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับล้างไข่ด้วย
9.ล้างนอกล้างใน ผลไม้ที่กินทั้งเปลือกได้ เช่น มะเฟือง สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง ควรล้างหลายๆ ครั้ง ใช้แปรงขนอ่อนถูเบาๆ ให้ทั่วแล้วล้างน้ำเกลือหรือน้ำสุก ส่วนผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนจึงกินได้ เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด ควรนำมาล้างก่อน จึงค่อยปอกเปลือก เพราะถ้าไม่นำมาล้างก่อน สิ่งสกปรกบนผลไม้จะติดไปกับมือหรือมีดขณะปอกผลไม้ได้ ทำให้เนื้อผลไม้สกปรก
10.ยาสีฟันสารพัดประโยชน์ องุ่นปกติมักจะมีคราบเหมือนยางเป็นฝ้าขาวๆ ล้างยังไงก็ไม่ออก วิธีล้างให้เด็ดผลองุ่น ออกจากพวงใส่ภาชนะบีบยาสีฟัน (อะไรก็ได้) พอสมควร ขยี้ให้ทั่วมือ ใส่น้ำพอสมควร แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะเด็ดน้ำ
ก่อนกินอาหารคราวหน้า อย่าลืมล้างสารพิษออกก่อนนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ

เรื่องน่าอ่าน วิธี… ขจัดความฟุ่มเฟือย


หลีกไกลอารมณ์อยากซื้อ ใน ที่นี้หมายถึงการเดินช้อปปิ้งทุกประเภท เพราะการขายของไม่ว่าให้ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัดก็ตามล้วนมีการตกแต่งร้าน ทำการตลาดลดราคาให้ดูน่าซื้อหามาเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนจะมีของ Sale ล่อตาล่อใจ ให้สาวๆ ล่องลอยเข้าไปในร้านสู่โลกแห่งความฝัน และคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นคุ้มค่าเพราะราคาถูกกว่าครึ่ง โดยที่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าเราไม่ได้ต้องการมันสักนิด หรือไม่มันก็ยังไม่จำเป็น เพราะว่าสาวๆ กำลังติดอยู่ในอารมณ์อยากซื้อนั่นเอง ดังนั้นหนทางแก้อยู่ที่การกลับไปนอนคิดที่บ้านก่อน สักพักอารมณ์อยากตรงนั้นก็จะหายไปเอง
ใช้เวลาช้อปปิ้งมาทำงาน เอา เวลาที่คุณไปช้อปปิ้งทำงานที่ค้างไว้ หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับการงานใหม่ๆ เพราะว่าเวลาที่คุณมีอยู่สามารถสร้างเงินได้แทนการออกไปฟุ่มเฟือย นอกจากนี้ยิ่งทำงานยิ่งเพิ่มเงินเยอะขึ้น ตำแหน่งหน้าที่มีการเติบโต บางทีอาจจะมีโบนัสปลายปีคอยอยู่ หากยังรู้สึกอยากจะดูของอยู่ ให้ใช้วิธีเลือกของเก่าเอามามิกซ์แอนด์แมตช์ ไว้เป็นกิจกรรมคลายเหงาของสาวชอบแต่งตัวแทน
คิดการใหญ่ไม่ฟุ่มเฟือย การ คิดการใหญ่เป็นสิ่งที่ดี เพราะหมายถึงคุณจะต้องมีวินัยในการสะสมเงินให้ได้จำนวนมากพอสมควร เพื่อเก็บไว้ซื้อของที่อยากได้จริงๆ ไม่ใช่ของกระจุกกระจิกราคาถูกที่ใช้ 3 ทีก็เจ๊ง ลองเก็บตังค์ซื้อกระเป๋าหรือรองเท้าแบรนด์เนมดูสิ เพราะของพวกนี้ใช้ทนใช้นาน ดูแล้วคุ้มค่ากว่าการซื้อบ่อยๆ แต่ของไม่มีคุณภาพกว่ากันเยอะ
ไม่พกเงินและบัตรเต็มกระเป๋า วิธี ไม่พกเงินเยอะๆ จะทำให้คุณจำกัดการใช้จ่ายได้อย่างดี รวมทั้งงดใช้เงินอนาคตของบัตรเครดิต แม้ว่าจะมีแต้มสะสมล่อตาล่อใจเท่าไรก็ตาม พกเพียงแค่ 1-2 ใบ ไว้ยามฉุกเฉินก็พอแล้ว
อย่าใช้บัตรแบบผ่อนของหลายใบเกินนะคะ เพราะคุณจะอยู่ในวังวนของความเป็นหนี้ พยายามใช้ให้พอดี แบบที่คุณจะจ่ายได้ ไม่เดือนร้อน

เกร็ดน่ารู้คู่บ้าน น้ำผึ้ง… แก้ท้องเสีย



เกร็ดน่ารู้คู่บ้าน น้ำผึ้ง… แก้ท้องเสีย
บอกเพื่อนด้วย Link:
หมวด: ความรู้ทั่วไป, ความรู้รอบตัว, รู้ไว้ใช่ว่า, บทความ, บทความดีๆ, เคล็ดลับ, เรื่องน่ารู้, เกร็ดความรู้, แม่บ้าน
จิบน้ำผึ้งสด ประมาณ 2-3 โต๊ะ สักพักอาการท้องเสียก็จะหาย

การที่น้ำผึ้งมีส่วนช่วยในการรักษาโรคท้องเสียนั้น ก็เพราะโรคท้องเสียเกิด จากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ที่เข้าไปแพร่กระจายในกระเพาะอาหารของมนุษย์ แต่เมื่อกินน้ำผึ้งเข้าไป ความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะไปดึงน้ำออกจากตัวแบคทีเรียและทำให้แบคทีเรียตาย

..เก็บมาฝาก… หากมีบาดแผลเกิดขึ้น ถ้าล้างบาดแผลให้สะอาดแล้วใช้น้ำผึ้งทาที่บาดแผล น้ำผึ้งจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและทำให้แผลไม่เกิดอาการอักเสบ
1.ไม่รู้จักตนเอง
เพราะไม่รักตัวเอง จึงไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
เพราะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง จึงไม่มีจุดยืนของตัวเอง
2.ไม่เข้าใจคนอื่น
เพราะ ไม่เปิดใจ จึงไม่เข้าใจความแตกต่าง
เพราะไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงไม่ได้เอาคนอื่นมาเป็นคติสอนใจ
3.ไม่มีเป้าหมาย
เพราะขาดความเชื่อศรัทธา จึงขาดแรงผลักดัน
เพราะไม่มีแรงบันดาลใจ จึงขาดแรงจูงใจ
เพราะยังไม่เจอปัญหา จึงขาดไฟ
เพราะยังไม่มีModel จึงขาดVistion เพราะไม่มีจินตนาการ จึงขาดความรู้ เพราะไม่มีสติ จึงขาดปัญญา
4.ยังไม่ได้ลงมือทำ

เพราะเพิกเฉย จึงพลัดวันประกันพรุ่ง
เพราะกลัว จึงไม่กล้าตัดสินใจ
เพราะรอ จึงยังไม่พร้อม
เพราะขี้เกียจ จึงงานเยอะ
เพราะยังไม่อยากทำ จึงไม่บริหารเวลา
เพราะไม่ยอมเปลี่ยน จึงไม่ลงมือทำ
5.ยังไม่ได้ประเมินผล

เพราะยังไม่ได้ใส่ใจ เลยไม่รู้ปัญหา
เพราะยังไม่ได้ทบทวน เลยไม่ได้ใคร่ครวญให้ดี
เพราะมัวแต่เพ่งโทษตนเอง เลยยึดติด
เพราะไม่มีทางออก ก็เลยต้องออกนอกเส้นทางบ่อยๆ
เพราะไม่ได้แก้ไข จึงไม่ได้ปรับปรับปรุง
เพราะสักแต่ว่าทำ เลยไม่ทำให้ดีกว่าเดิม
เพราะเผลอ จึงประมาท
6.ยังไม่มีคนคอยชี้ทาง
ไม่มีครู ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ไม่มีคนเกื้อหนุน ไม่มีคนช่วยเหลือ
7.คุณรู้แก่ใจ….(ปลายทาง)

…. อย่าลืมนะคะ ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จ ที่มัวแต่นั่งคิด โดยไม่ลงมือทำ ^-^

วิธีพักสายตา สักนิด ระหว่างการทำงาน

-มองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง หรือมองออกไปไกลๆ จากงานที่อยู่ตรงหน้าเท่าที่จะสามารถทำได้
-วัตถุที่คุณมองนั้นควรอยู่ห่างจากคุณอย่างน้อย 20 ฟุต
-เคลื่อนสายตามองไปรอบๆ และมองไปที่สิ่งอื่นๆ หรือวัตถุอื่นๆ บ้าง
-ย้อนกลับมามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
-ทำซ้ำตามวิธีนี้บ่อยๆ ในวันทำงานของคุณ
การ ปิดฝ่ามือ (สำหรับการพักสายตา)
-ทำมือเป็นลักษณะรูปถ้วยปิดรอบดวงตา วางพักมือบนโหนกแก้ม (หลีกเลี่ยงการกดลงบริเวณลูกตา)
-ประสานมือไขว้ไว้เหนือดั้งจมูกเพื่อบังแสงสว่าง
-หลับตาลงประมาณ 15 วินาที แล้วให้หายใจเข้า หายใจออกลึกๆ
-เปิดฝ่ามือ แล้วลืมตาขึ้น

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

วิ่งอาทิตย์ละ 2 วัน ให้มีความจำดีแม่นยำ

ออกกำลังกาย ช่วยให้เซลล์สมองเจริญเติบโตขึ้น
นักวิจัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อันมีชื่อเสียงของอังกฤษ แนะนำว่าถ้าหากอยากให้สมองมีความจำดี ควรจะหาเวลาออกกำลังด้วยการวิ่งอาทิตย์ละสัก 2 วันเพราะการวิ่งจะไปช่วยก่อให้เซลล์สมองใหม่ๆ ในบริเวณซึ่งเกี่ยวกับการก่อและระลึกความจำเรือนล้านๆ ได้เจริญเติบโตขึ้น
นักประสาทวิทยาศาสตร์พฤติกรรมของมหาวิทยาลัย นายทีโมธี่ บัสซี่ กล่าวแจ้งว่า "เราทราบกันอยู่แล้วว่าการออกกำลังช่วยบำรุงสมอง แต่การออกกำลังแบบนี้จะเท่ากับเป็นกลไกให้เกิดผลแบบนั้นขึ้น"
นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการทดสอบกับหนู 2 ฝูง จับฝูงหนึ่งให้ถีบจักร เฉลี่ยเท่ากับเป็นระยะทางวันละ 24 กม. ส่วนฝูงที่เหลือปล่อยให้อยู่ตามปกติ หลังจากนั้นได้นำไปทดสอบความจำ ปรากฏผลว่าหนูที่ออกกำลังมีความจำดีกว่า พวกที่ไม่ได้ออกกำลังกว่ากันเกือบ 2 เท่า.


วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

9 ข้อคิด สำหรับชีวิต

1.เมื่อคิดจะทำอะไร หากคิดมากไป เมื่อไร? จะได้ลงมือทำ
2.อย่าให้โอกาศผ่านไป โดยที่ยังไม่ได้พยายาม
3.มองโลกในแง่ดี …ชีวิต…จะมีความสุข
4.ทำอะไรจงทำให้ดี เพราะจะไม่มี …เสียใจ… ในสิ่งที่ทำ
5.จิตจะสงบได้อย่างไร? หากมัวใส่ใจ กับคำพูดจากคนอื่น
6.หากอยากประสบความสำเร็จ จงทำงานที่ตัวเองถนัด อย่าหวังพึ่งพาผู้อื่น
7.งานหนักเพียงใด หากทำด้วยใจและความสุข เราจะไม่รูสึกเหนื่อยเลย
8.ความกตัญญู คือคุณค่าของคนที่น่านับถือ
9.มีเวลาว่างอย่าให้เสียเปล่า จงทำตัวให้มีประโยชน์ต่อสังคมและแผ่นดิน

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

สายศิลป์ ดีสำหรับผู้ที่ไม่คิดอยากจะเป็นหมอ หรือนักวิทยาศาสตร์

คนที่บอกว่า สายศิลป์ "เสียเปรียบ" สายวิทย์ อยากถามว่า มันเสียเปรียบตรงไหนคะ ในเมื่อสายศิลป์ก็มีทางเลือกในการประกอบอาชีพพอๆกับสายวิทย์นั่นแหละ เพียงแต่ไม่มีโอกาสเป็นหมอ หรือนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็สามารถทำอาชีพอื่นๆได้ดีกว่าสายวิทย์ เช่นอาจจะเป็นนักกฏหมาย นักออกแบบ หรือเก่งภาษาก็ไปเป็นไกด์ เป็นแอร์ ไปท่องเที่ยวทั่วโลกก็ยังได้

เวลาของชีวิตเรามีไม่มาก ใช้ชีวิตให้มีความสุข หาประสบการณ์ใส่ตัวให้มาก ไม่ชอบเรียนวิทย์ก็เข้าสายศิลป์ ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย "วิชาการ" ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ความสุขในชีวิตไม่ใช่หรือ ที่ทุกคนต้องการ อย่าไปสนใจคำพูดของผู้อื่นให้มาก โดยเฉพาะเพื่อน พวกเขาก็ใช่ว่าจะรู้ดีไปกว่าเรา ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แล้วชีวิตก็จะมีความสุข

Creative thinking is not good for people who want to be a doctor. Or scientists.
Creative people say "disadvantaged" call Sci I asked how it directly คะ disadvantage. When Creative has the option to call as its occupation Wit That. But no chance to live. Or scientists. But you can do better than other professional lines Sci. As may be lawyers, designers or Fluency is to guide the air to travel around the world still has.

Time of our life is not so much. Living to be happy. Enter the experience as much. School students do not like to call it art Do not see what damage "academic" is not the most important. Happiness in life or not. Everyone wants. Do not pay attention to the words of many others. The only friend Yes, they will know better than us Do what to myself. Then life will be happy.

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

Profiterles au fromage

Profiterles au fromage ตัวเเป้งก็เหมือนทำชูครีมทั่วไปนั่นเเหละค่ะ จะต่างกันตรงที่เราจะใส่ชีสขูดลงไปผสมด้วย ส่วนไส้จะเป็นชีสครีมเเละวิปครีมผสมกับผักหอมต่างๆค่ะ ส่วนผสมน้ำเเละนม ตวงให้ได้ ๑/๘ ลิตร เนย ๖๐ กรัมเกลือ ๑/๔ ช้อนชาเเป้งสาลีอเนกประสงค์ ๑๑๐ กรัมไข่ ๓ ฟองชีสชนิดเเข็งขูด ๗๕ กรัม (Gruyère cheese)งาขาว งาดำ ยี่หรา ป๊อปปี้ซี้ด สำหรับโรยหน้า เเละไข่ ๑ฟองสำหรับทาหน้าส่วนผสมไส้ (ชีสครีม)วิปปิ้งครีม ๖๐ กรัมหอมใหญ่เเดง ๔๐ กรัมครีมชีส ๒๕๐ กรัมพลาสเลย์เเละต้นหอมซอย ๑ ช้อนโต๊ะเกลือพริกไทยป่นเเจ่มจันซอยปาปริก้าสีเเดงเเละก้านเซเลอรี่ลงไปด้วยค่ะ ใครชอบจะเพิ่มจะลดพวกผักอะไรก็ตามชอบนะคะ ครั้งหน้าจะใส่ข้าวโพดกับถั่วลันเตาด้วย ถ้าใครจะตักไส้ใส่ถุงบีบ ต้องใช้หัวบีบเบอร์ใหญ่ๆ หรือซอยผักให้เล็กๆนะคะ
วิธีทำ-วอร์มเตา ๒๐๐ องศาเซลเซียส -ร่อนเเป้ง พักไว้-ใส่น้ำ นม เนย เเละเกลือลงไปในหม้อ ตั้งไฟกลาง พอเนยละลาย หม้อเดือด(ระวังจะล้นหม้อ) เทเเป้งลงไปครั้งเดียว รีบคนให้ส่วนผสมเข้ากัน พอเเป้งจับตัวกันเป็นก้อน ยกหม้อออกจากเตา-ตักส่วนผสมที่ได้ใส่ลงไปในภาชนะ ทิ้งไว้ให้เเป้งอุ่น จากนั้นตอกไข่ลงไปในอ่างเเป้ง ใช้ตะกร้อมือ หรือตะกร้อไฟฟ้าตีให้พอเข้ากัน เเล้วตอกไข่ลงไปอีกใบ ทำเเบบนี้จบครบสามฟอง พอตีเเป้งกับไข่เข้ากันดีเเล้ว เทชีสขูดลงไป ใช้พายมือคนให้ส่วนผสมเข้ากันดี(เเจ่มจันไม่ได้ใส่ชีส วันนี้เป็นวันหยุดด้วยร้านปิดด้วย)-ตักส่วนผสมใส่ถุงบีบ เเจ่มจันใช้หัวบีบเบอร์๑๑ บีบลงบนถาดที่รองด้วยกระดาษไข บีบให้ระยะห่างกันประมาณ ๕เซน เเจ่มจันบีบพอคำ ลูกละคำ ตอนบีบก็นับ ๑-๖ หยุดบีบ ค่อยๆยกหัวบีบขึ้น อย่าเพิ่งให้เเป้งขาดเเล้วรีบหมุนตวัดหัวบีบ ที่เเจ่มจันทำเเบบนี้เพื่อไม่ให้ขนมหัวเเหลมเเละไหม้ก่อนส่วนอื่น อันนี้เเล้วเเต่ถนัดนะคะ บางคนใช้ส้อมตัดหรือกดเบาๆ -โรยหน้าขนมด้วยงา ยี่หรา ตามชอบ เเต่อบสุกเเล้วมันหลุด ตามตำราเค้าให้ใช้ไข่ทาค่อยโรย เเต่ส่วนผสมไม่สามารถจะทำได้ หรือถ้าใส่ชีสลงไปตอนผสมเเป้งกับไข่จะทำให้เนื้อขนมเเข็งกว่าก็มิทราบนะคะ ลองทำกันดู ถ้าทำไข่ไม่ได้ก็โรยเอา หรือไม่โรยอะไรก็ตามชอบค่ะ-นำเข้าเตาอบ ๑๐-๑๒นาทีค่ะ ส่วนไส้ชีสครีมเเล้วเเต่ใครจะทำก่อนหรือหลังตัวขนมนะคะ วิธีทำ





-หั่นหัวหอมชิ้นเล็กๆ ซอยต้นหอม ซอยผักที่ชอบชิ้นเล็กๆเตรียมไว้

-ตีวิปครีม ตีประมาณที่เราทำสำหรับเเต่งหน้าขนมเเหละค่ะ พักไว้




หมูกรอบ
หมูกรอบสูตรเเม่สลิ่ม อร่อยกรอบมากเลยคะ ขอบคุณมากคะ เเต่ตอนทอดน่ากลัวน่าผวามากเลยคะ น้ำมันระเบิด ห้องครัวเละดูไม่ได้เลย ผนังห้องครัวด้วย น่ากลัวที่สุดเลย เเต่ครั้งต่อไปเเจ่มจันจะเอาไปทอดที่หม้อทอดไฟฟ้าคะ ปลอดภัยที่สุดเลย อยากบอกว่าเเฟนชอบมากเลยคะ ทำน้ำซอส(สูตรคุณเเม่น้องบัดดี้ ขอบคุณคะ)ราดด้วย อร่อยมาก
สูตรหมูกรอบเเม่สลิ่ม

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ลูกตาลไอศกรีม



ใครเคยกินขนมลูกตาลรสชาติของไอติมถ้วยนี้ยังไงก็อย่างงั้นค่ะ เพียงเเต่ไม่มีเเป้งเเละยีสต์ อิอิ กินเย็นๆไม่ได้กินร้อนๆอย่างขนมลูกตาลค่ะ รสชาติหอมหวานอร่อยมากค่ะ อร่อยอย่างไอติมไทยๆค่ะ สูตรนี้ดัดเเปลงมาจากไอติมกะทิสด
อากาศร้อนๆตับทะลักเเบบนี้จะรับสักโคนไหมคะ??เนื้อตาลบรรจุขวด ขวดนี้ซื้อมาจากฝรั่งเศสพอดีไปเที่ยวไชน่าทาว์นที่นั่นมาด้วยค่ะ ไม่เสียเที่ยว


ลูกสีขาวที่เห็นนั่น ไอติมครีมชีสค่ะ

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Strawberry Muffins


ส่วนผสมมัฟฟิน
สตอรว์เบอร์รี่สด(หรือเเช่เเข็ง) ๔๘๐ กรัม
เเป้งอเนกประสงค์ ๓๕๐ กรัม
น้ำตาลทราย ๑๑๐ กรัม
ผงฟู ๒ ช้อนชา
เบคกิ้งโซดา ๑ ช้อนชา
เกลือ ๑/๒ ช้อนชา
บัตเตอร์มิล์ค ๓๕๐ มิล.
น้ำมันพืช ๖๐ มิล.
ไข่ไก่(สดๆ) ๒ ฟอง
น้ำตาลวานิลา ๑๐ กรัม(หรือกลิ่นวานิลา)

ส่วนผสมท็อปปิ้ง
เเป้งอเนกประสงค์ ๗๐ กรัม
โอ๊ตมีล ๕๐ กรัม
น้ำตาลทราย ๗๐ กรัม
อบเชยผง ๑/๒ ช้อนชา
เนยนุ่ม ๖ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
๑. วอร์มเตาอบ๒๐๐องศาเซลเซียส(เตาอบพัดลมร้อน ๑๗๐องศาเซลเซียส) เตรียมถาดมัฟฟิน วางถ้วยกระดาษลงในหลุดรอไว้หากไม่มีถ้วยกระดาษก็ให้ทาเนยเตรียมไว้
๒. ทำท็อปปิ้งก่อนโดยเทเเป้ง โอ๊ตมีล น้ำตาลทรายเเละอบเชยในอ่างผสม คนส่วนผสมให้กันด้วยไม้พายเเล้วใส่เนยลงไป ใช้ปลายนิ้วนวดให้ส่วนผสมเข้ากัน (จะได้ส่วนผสมเป็นเม็ดๆ)จากนั้นนำเข้าพักไว้ในตู้เย็น
๓. ล้างทำความสะอาดสตรอว์เบอร์รี่ ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำเเล้วหั่นลูกเต๋า หลังจากที่หั่นเสร็จเรียบร้อยเเล้วให้เเบ่งเเป้งมาประมาณ๑ช้อนโต๊ะคลุกเเป้งกับสตรอว์เบอร์รี่พอเข้ากัน พักไว้
๔. ร่อนเเป้งเเล้วเทใส่ในอ่างผสม ใส่ผงฟู เบคกิ้งโซดา น้ำตาลเเละเกลือลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี พักไว้
๕. เทบัตเตอร์มิล์คลงในอ่างอีกใบ ใส่น้ำน้ำพืช ไข่ไก่ วานิลาตามลงไป เเล้วตีด้วยเครื่องไฟฟ้าด้วยความเร็วปานกลางให้ส่วนผสมเข้ากันดี
๖. ค่อยตักเเป้งใส่ลงไปในอ่างเรื่อยๆจนเเป้งหมดเเละเข้ากันดีจึงหยุดตี เทสตรอว์เบอร์รี่ลงไปในอ่านเเป้งเเล้วค่อยๆคนด้วยไม้พายจนเข้ากับเเป้งดี
๗. ตักส่วนผสมลงในหลุมมัฟฟินเเล้วโรยด้วยท็อปปิ้งที่เตรียมไว้ นำเข้าเตาอบ ๒๕นาที

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553


น้องปุ๊กลุกจากประเทศไทย เจ๋ง ซิวขวัญใจช่างภาพ - ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ขณะที่สาวงามจากฟิลิปปินส์ เป็นม้ามืดแรงปลาย ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2010...

เมื่อเวลาประมาณ​08.00 น. วันที่ 24 ส.ค.​ ตามเวลาประเทศไทย การประกวดมิสยูนิเวิร์ส ประจำปี 2010 จัดขึ้นที่ มันดาเลย์ เบย์ รีสอร์ต แอนด์ คาสิโน ในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา โดยสาวงาม เดินแนะนำตัวด้วยชุดประจำชาติ จากนั้นมีการประกาศผู้เข้ารอบ 15 คน ได้แก่ เปอร์โตริโก ยูเครน เม็กซิโก เบลเยี่ยม ไอร์แลนด์ เซาท์ แอฟริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย จาไมกา รัสเซีย อัลเบเนีย โคลัมเบีย กัวเตมาลา เช็ก รีพลับลิก และ ฟิลิปปินส์

ขณะที่มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส น้องปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชระตระกูล ไม่ผ่านเข้ารอบ

ต่อมา 15 สาวงาม ออกมาอวดโฉม เดินโชว์ขาอ่อน ด้วยชุดว่ายน้ำ ก่อนที่จะประกาศ สาวงามที่เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย ได้แก่ ไอร์แลนด์ อัลเบเนีย ฟิลิปปินส์ จาไมกา เม็กซิโก ยูเครน เปอร์โตริโก เซาท์แอฟริกา กัวเตมาลา และออสเตรเลีย โดยในรอบชุดว่ายน้ำ 15 คนนั้น ประเทศที่มีคะแนนสูงสุด คือ จาไมก้า 9.426 คะแนน และ เม็กซิโก--9.265 ส่วนประเทศที่เหลือคะแนนอยู่ระหว่าง 7-8 คะแนน



สำหรับรางวัล นางงามมิตรภาพ รางวัลปีนี้ตกเป็นของ นางงามจากออสเตรเลีย เจสซิตา แคมป์เบลล์

ส่วนหนึ่งเดียวของประเทศไทย บนเวทีการประกวดนางงามจักรวาล 2010 "ปุ๊กลุก" ฝนทิพย์ วัชระตระกูล คว้ารางวัลมิสโฟโตจินิค หรือ ขวัญใจช่างภาพ และรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม จากชุด "สยามไอยรา" ไปครอง

ผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย ได้แก่ ประเทศเม็กซิโก ออสเตรเลีย จาไมกา ยูเครน และ ฟิลิปปินส์






Miss Thailand Universe 2010
นางสาวฝนทิพย์ วัชรตระกูล
ชื่อเล่น: ปุ๊กลุก
อายุ : 20
สัดส่วน: 33-25-36
ส่วนสูง: 170 เซนติเมตร
น้ำหนัก: 52 กิโลกรัม
การศึกษา: ปริญญาตรี ปี 1 คณะนิติศาสตร์ ม.อัสสัมชัญ
จังหวัด: สมุทรปราการ

“มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2553” และ “ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน”

รางวัลพิเศษ Miss Photogenic (ขวัญใจช่างภาพ) และ Best National Costume Award (ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม) จากการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2010